ก่อนที่จะทำงานเกี่ยวกับสี ควรตรวจดูสภาพของสีเดิมก่อนว่าสีเดิมเป็นลักษณะอย่างไร การตรวจควรตรวจอย่างละเอียดด้วยความระมัดระวัง และสังเกตสีอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ตัดสินใจได้ถูกต้องในการประเมินราคานั้น ซึ่งสามารถแบ่งตามสภาพเดิมดังนี้
1. สีเดิมอยู่ในสภาพดี
2. สีเดิมอยู่ในสภาพปานกลาง
3. สีเดิมอยู่ในสภาพเลว
1. สีเดิมอยูในสภาพดี หมายถึง สีรถยังใหม่ ซึ่งเจ้าของรถต้องการเปลี่ยนสี ซึ่งสีเดิมของรถยนต์ไม่เกิดออกซิไดเซชั้น (ยังไม่เกิดฝ้า) สังเกตได้โดยใช้ยาขัดสีขัดสีรถนั้นดู สีจะเกิดการแตกต่างกันน้อย แสดงว่าการเกิดออกซิไดเซชั่นน้อย ถ้าสีแตกต่างกันมากแสดงว่าเกิดออกซิไดเซชั่นมาก
2. สีที่อยู่ในสภาพปานกลาง หมายความว่า สีเดิมของรถไม่มีรอยแตกร้าว, รอยเคาะ, แต่จะมีเฉพาะฝ้าเกิดขึ้นเท่านั้น
3. สีเดิมอยู่ในสภาพเลว หมายความว่า สีเดิมของรถมีรอยแตกร้าว, รอยเคาะ, ผุ, ลอก, และเกิดฝ้าขึ้นทั่วสีเดิม
เมื่อช่างสีทราบข้อมูล เกี่ยวกับสภาพของสีเดิมแล้ว จะทำให้ช่างสีสามารถที่จะประเมินราคางานในการทำสีได้ถูกต้อง ทำให้ราคาไม่แพงและไม่ถูกเกินไป ซึ่งพอจะแบ่งงานออกได้ดังนี้
1. งานราคาแพง (Very Expensive)
2. งานราคาปานกลาง (Expensive)
3. งานราคาถูก (cheep)
1. งานราคาแพง (Very Expensive) ช่างสีสามารถจะประเมินราคาในการทำสีรถยนต์นั่งได้ กล่าวคือราคาประมาณ 12,000-15,000 บาท โดยช่างสีจะต้องถอดทุกชิ้นของรถยนต์, ถอดกระจกหน้ากระจกหลัง, ถอดเฟอร์นิเจอร์ภายในรถ, ถอดเบาะนั่ง, ยกเครื่องยนต์ออกจากรถ, ถอดยางขอบประตู, กันชน, คิ้ว, เป็นต้น สีที่ใช้ในการพ่นคือ
ก. สีพื้น ช่างสีจะต้องพ่นทั้งคัน
ข. สีซิลเลอร์ช่างสีจะต้องพ่นทั้งคัน
ค. สีทับหน้า พ่นทั้งคัน
ง. พ่นเคียร์แลคเกอร์ ทับสีทับหน้าเพื่อเกิดความเงามัน
2. ราคาปานกลาง (Expensive) ในราคาปานกลางประมาณ 8,000-12,000 บาท โดยช่างสีจะต้องถอดโครเมี่ยม, คิ้ว, กันชนหน้าหลัง, เบาะนั่ง, และยางขอบประตู, สีที่ใช้ในการพ่นคือ
ก. สีพื้น พ่นทั้งคัน
ข. สีทับหน้า
ค. พ่นเคียร์แลคเกอร์ ทับสีทับหน้า
3. ราคาถูก (cheep) ราคาถูกกล่าวคือช่างสีจะถอคเฉพาะส่วนที่จำเป็น หรือ ไม่ถอดอะไรเลย ซึ่งจะปิดเฉพาะกระดาษ สีที่ใช้ในการพ่นคือ
ก. สีพื้นพ่นบางจุด
ข. สีทับหน้า
ที่มา:อร่าม เริงฤทธิ์